คิดว่านี่น่าจะเป็นคำถามที่หลายๆ คนสงสัย และอาจกลายเป็นข้อจำกัดในการเริ่มต้นทำธุรกิจของหลายๆ คนเลยก็ว่าได้ บทความนี้ทับทิมจะมาตอบคำถามว่า หากจะเริ่มทำดรอปชิปเนี่ย ต้องใช้เงินเท่าไหร่ มีค่าอะไรบ้าง และปิดท้ายด้วยคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ เรื่องการเงินค่ะ ขอบอกก่อนว่าทั้งหมดนี้มาจากประสบการณ์ส่วนตัวล้วนๆ นะคะ
How much does it cost to build the store?
ส่วนแรกที่ต้องใช้เงินคือ การสร้างร้านค้าค่ะ ทับทิมสร้างร้านค้าโดยใช้แพลตฟอร์ม Shopify ซึ่งมีค่าใช้จ่ายรายเดือนเดือนละ $29 และค่า Domain name $14 ต่อปี ซึ่ง Domain name นี้สำคัญมาก เราควรมีชื่อโดเมนเป็นชื่อเดียวกับร้านค้าหรือแบรนด์ของเราเพื่อความน่าเชื่อถือนั่นเอง รวมทั้งหมด $43 หรือ 1,333 บาทเท่านั้น ($1=31baht) และก็มีแค่นี้ค่ะสำหรับค่าใช้จ่ายในการสร้างร้านค้าออนไลน์ ซึ่งแพลตฟอร์ม Shopify นี้รองรับการทำร้านค้าออนไลน์มากๆ มีแอพพลิเคชั่นมากมายให้เราเลือกเพื่อพัฒนาร้าน ซึ่งแอพฟรีหลายๆ แอพมีประโยชน์มาก อีกทั้งยังมีธีมให้เลือกหลากหลายทั้งฟรีและเสียเงิน ซึ่งธีมฟรีก็ใช้งานได้ดีมาก หากพึ่งเริ่มต้นทับทิมก็แนะนำให้ใช้ธีมฟรีไปก่อน แล้วค่อยขยับไปพรีเมียมธีมภายหลัง
How much money do I need for marketing?
ในส่วนของการตลาดนั้น ขึ้นอยู่กับแต่ละคนเลยค่ะ ว่าอยากทำแบบไหน อยากขายผ่านแพลตฟอร์มอะไร มีให้เลือกหลายอย่าง เช่น ขายผ่านเฟสบุ้คเพจ อินสตาแกรม ไลน์แอด หรือ Google Shopping ซึ่งขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของร้านเราค่ะ แต่ละแบบใช้วิธีการขายต่างกับ งบประมาณก็ต่างกันด้วย ในที่นี้ทับทิมจะพูดถึงสองอย่างคือ ขายผ่านเฟสบุ้ค และขายผ่าน Google Shopping ค่ะ
การขายผ่านเฟสบุ้คนั้น เราเริ่มจากการสร้างเพจก่อน แคมเปญโฆษณาอันแรกควรจะเป็น Like Campaign ซัก 3 วัน เพื่อให้คนมากดไลค์เพจเราก่อน เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือมากขึ้น ในส่วนนี้อาจจะใช้งบวันละ $5 รวม 3 วันเป็นเงิน $15 หลังจากนั้นให้เริ่มทำ Products Testing campaign คือการยิงโฆษณาสินค้าแต่ละชิ้นเพื่อหา Winning products คือสินค้าที่สามารถขายได้และทำกำไรได้นั่นเอง ในส่วนนี้แนะนำว่าให้ลองทำประมาณ 4 วัน วันละ $5 คิดเป็นเงิน $20 ต่อสินค้า 1 ชิ้น และแนะนำให้ทำทั้งหมด 20 ชิ้นค่ะ นั่นคือ $400 หรือ 12,400 บาทนั่นเอง ($1=31baht) อย่าพึ่งตกใจค่ะ การทำ products testing ตรงนี้ สามารถค่อยๆ ทำทีละ 5-10 ชิ้นได้ค่ะ แล้วแต่งบประมาณของเราเอง คำถามคือ ทำไมต้อง 20 ชิ้น เพราะเราไม่รู้ว่าสินค้าตัวไหนจะเป็น Winning product ไงคะ หากคุณโชคดี คุณอาจจะเจอสินค้าที่สามารถขายได้กำไรตั้งแต่ที่คุณทำชิ้นที่ 10 ก็เป็นได้ และหากคุณหา Winning products เจอแล้ว ให้เน้นที่สินค้าชิ้นนั้นค่ะ มันจะทำเงินให้เราได้เรื่อยๆ
ในส่วนการขายผ่าน Google Shopping นั้น จะมีขั้นตอนยุ่งยากมากกว่าเล็กน้อย เพราะเราต้องอัพโหลดสินค้าเข้า Google Merchant Center เพื่อให้ทาง Google ตรวจสอบสินค้าในร้านเราก่อน จากนั้นเราถึงจะเริ่มทำโฆษณาได้ การโฆษณาผ่าน Google Shopping นั้น จะต่างจากเฟสบุ้คตรงที่เราไม่ต้องกำหนดกลุ่มลูกค้าเพื่อยิงโฆษณา ลูกค้าจะทำการค้นหาผ่านหน้า Google หากตรงกับคีย์เวิร์ดของสินค้าร้านเรา ลูกค้าก็จะเห็นสินค้านั้น และสามารถคลิกเข้ามาดูรายละเอียดในร้านเราได้เลย ส่วนการตั้งงบประมาณนั้นก็เหมือนกับทางเฟสบุ้คที่เราต้องตั้งงบที่เราจะใช้ในแต่ละวัน แนะนำว่าให้เริ่มต้นที่วันละ $5-$10 เมื่อสินค้าขายได้ เราสามารถเพิ่มงบได้อีกค่ะ ตรงนี้หากคิดที่วันละ $10 เป็นเวลา 30 วัน คิดเป็น $300 หรือ 9,300 บาท ($1=31baht) อย่าลืมว่าช่องทางฟรี ขายยาก หากอยากขายได้เร็ว ขายได้เยอะ การลงทุนในงบการตลาดคือสิ่งสำคัญค่ะ
รวมทั้งหมดแล้วเราจะใช้เงินเริ่มต้นประมาณ ($43+$300) $343 หรือ 10,633 บาทค่ะ
Tip#1
คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ทีเดียว สิ่งที่ต้องจ่ายตอนเริ่มต้นคือค่าใช้จ่ายในการสร้างร้านเท่านั้น ส่วนการตลาดนั้น เราสามารถค่อยๆ ทำโฆษณาได้เรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนค่ะ จากที่ทับทิมเคยทำมานั้นส่วนใหญ่เดือนแรกจะใช้เวลาไปกับการสร้างร้านค่ะ เดือนที่สองถึงเริ่มทำโฆษณาได้ ดังนั้น เรายังมีเวลาหมุนเงินค่ะ
Tip#2
หากคุณขายของผ่านเฟสบุ้คเพจ เมื่อคุณเจอ Winning products หรือสินค้าที่สามารถทำเงินได้แล้ว ทับทิมแนะนำให้ลองซื้อของชิ้นนั้นมาทดลองใช้เองค่ะ เนื่องจากการทำโฆษณาบนเฟสบุ้คสามารถทำได้หลายรูปแบบ ทั้งรูปภาพและวิดีโอ หากเรามีของอยู่ในมือ ก็สามารถถ่ายรูปสินค้าสวยๆ แล้วโพสได้ หรือการทำวิดีโอสาธิตวิธีการใช้งานก็เป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้นค่ะ
Cash flow problem
สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักถึงในการขายของแบบดรอปชิปคือ กระแสเงินสด ค่ะ เนื่องจากว่าเราใช้แพลตฟอร์ม PayPal ในการรับเงินจากลูกค้า ซึ่งการถอนเงินจาก PayPal นั้นจะใช้เวลาประมาณ 5-7 วัน ดังนั้น เมื่อลูกค้าซื้อของเรา เราควรมีเงินสำรองในการสั่งของให้ลูกค้าก่อน และนี่เป็นปัญหาที่หลายๆ คนเจอค่ะ ทับทิมมีคำแนะนำสองทางนะคะ
Solution#1 Credit card
บัตรเครดิตเป็นตัวเลือกที่ดีและง่ายที่สุดในการทำดรอปชิปค่ะ เมื่อมีออร์เดอร์จากลูกค้าก็ใช้บัตรเครดิตสั่งซื้อของไปก่อน เมื่อได้รับเงินจาก PayPal แล้วค่อยมาจ่ายบัตรเครดิตอีกทีค่ะ ซึ่งตรงนี้คุณอาจได้โบนัสหรือแต้มต่างๆ จากบัตรเครดิตของคุณด้วย
Solution#2 Have 6,000-10,000 Baht saved in advance
วิธีแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุดหากคุณไม่มีบัตรเครดิต นั่นก็คือ ควรมีเงินสดติดบัญชีไว้ค่ะ ตรงนี้สำคัญนะคะ ควรแยกงบไว้ต่างหากจากค่าโฆษณาค่ะ เพราะหากเราสั่งของช้า นั่นหมายความว่าของส่งออกจากโรงงานช้า ส่งผลให้ลูกค้าได้รับสินค้าช้าไปอีก ไม่เป็นผลดีต่อร้านของเราค่ะ
ทั้งหมดนี้คือประมาณการค่าใช้จ่ายในการเปิดร้านจากประสบการณ์ส่วนตัวของทับทิมเองค่ะ ทั้งนี้อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าขึ้นอยู่กับความรู้และประสบการณ์ในการทำการตลาดนะคะ
หากคุณรู้สึกว่าเงินจำนวนนี้มากเกินไป รู้สึกเหมือนกำลังจะลงทุนก้อนใหญ่ และก็กลัวว่าจะทำสำเร็จหรือไม่
ทับทิมอยากให้ถามคำถามตัวเองอีกครั้งค่ะว่า
- คุณอยากมีรายได้เสริมไหม?
- คุณจากทำงานจากที่บ้าน หรือที่ไหนก็ได้ไหม?
- คุณอยากเป็นเจ้านายตัวเองจริงๆ ไหม?
- คุณอยากจะไปเที่ยวพักผ่อน แต่ก็ยังมีเงินเข้ากระเป๋าไหม?
บอกเลยว่าทั้งหมดนี้ทุกคนทำได้ค่ะ เพียงแค่ต้องเริ่มต้นลงมือทำ
ทับทิมขอเสริมนิดนึงค่ะว่า หากตอนนี้ถ้าเราอยากเปิดร้านขายของ เราต้องทำยังไงบ้างคะ เราต้องเริ่มที่การหาทำเลที่ตั้งร้านค้า หาสินค้ามาขาย สต๊อกสินค้า นับสินค้าเอง ตกแต่งร้านค้าให้สวยงาม แล้วก็เริ่มเปิดร้าน ทั้งๆ ที่เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเราจะขายดีหรือไม่ และหากเราอยากพัก อยากไปเที่ยว ก็ต้องจ้างคนมาเฝ้าร้านแทนอีก ต้นทุนเหล่านี้ สูงกว่าการเปิดร้านค้าออนไลน์แน่นอนค่ะ
ถ้าคุณอยากรู้ว่าขายของออนไลน์แบบดรอปชิป มีข้อดีข้อเสียยังไง คลิกอ่านบทความนี้ได้เลยค่ะ
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคนนะคะ
สอบถามคอร์สเรียน >> Click